‘อิตาเลียนไทย’ ร่อนเอกสาร ยืนยันไม่กระทบธุรกิจ หลังศาลจำคุก ‘เปรมชัย’

‘อิตาเลียนไทย’ ร่อนเอกสาร ยืนยันไม่กระทบธุรกิจ หลังศาลจำคุก ‘เปรมชัย’

บริษัท อิตาเลียนไทย ยืนยันว่า ไม่กระทบธุรกิจ หลังจากที่ศาลตัดสินจำคุก เปรมชัย จากคดีเสือดำ เผยมีการจัดตั้งคณะกรรมการบริหาร ตั้งแต่ปี 2555 จากกรณีที่ศาลฎีกาตัดสินจำคุก นาย เปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด จากคดีเสือดำ เป็นระยะเวลา 2 ปี 14 เดือน โดยไม่รอลงอาญา โดยทางอิตาเลียนไทยได้ร่อนเอกสารยืนยันว่าการตัดสินดังกล่าวไม่กระทบต่อการดำเนินกิจการของบริษัท

โดยเอกสารดังกล่าวระบุว่า 

“กรณีศาลฎีกาได้พิพากษาคดี ประธานบริหารของบริษัทฯ ซึ่งถือเป็นสิ้นสุดของกระบวนการยุติธรรม โดยระบุว่า บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่าคำพิพากษาดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบต่อการดำเนินงาน และการบริหารธุรกิจของบริษัทฯ แต่อย่างใด บริษัทฯ มีการจัดตั้ง คณะกรรมการบริหาร (Executive Committee) ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูง จำนวน 16 คน เพื่อดำเนินงานและบริหารงานมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2555 รวมระยะเวลา 9 ปี และบริษัทฯ ได้แต่งตั้ง ธรณิศ กรรณสูต เป็น รักษาการประธานบริหาร ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เลขที่ 1/12/2564 ณ วันที่ 1/12/2564

โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้จัดตั้งโครงสร้างการบริหารงานกลุ่มธุรกิจ (Cluster) มีการแบ่งสายงานในแต่ละกลุ่มงานก่อสร้าง ซึ่งมีจำนวน 8 กลุ่มธุรกิจ รวม 23 กลุ่มงานก่อสร้าง และกระจายหน้าที่ความรับผิดชอบในการบริหารงานให้กับผู้บริหารระดับสูง

บริษัทฯ ขอเรียนให้ผู้ถือหุ้น คู่ค้า ลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ของบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าคณะกรรมการบริหาร ของบริษัทฯ สามารถดำเนินงานและบริหารธุรกิจของบริษัทฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”

ศรีวราห์ ออกมาชี้แจงภาพในตำนาน ซึ่งเป็นภาพที่ตน ก้มหัวไหว้ ‘เปรมชัย’ จนกลายเป็นเสียงวิจารณ์อย่างหนัก ชี้ที่บ้านสอนแบบนี้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรามหมณกุล ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หัวหน้าชุดที่ทำคดีเสือดำ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน หลังจากที่ศาลตัดสินจำคุก นายเปรมชัย กรรณสูต กรรมการบริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดิเวล๊อปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) เป็นระยะเวลา 2 ปี 14 เดือน

พล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้กล่าวถึงภาพที่เคยถูกเปิดเผยเมื่อหลายปี ซึ่งเป็นภาพของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยกมือไหว้นายเปรมชัย จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก โดยเผยว่า การก้มไหว้ของตนเอง เพราะได้รับการสั่งสอนมาแบบนี้ ที่บ้านนับถือพราหมณ์ มีการไหว้และรับไหว้เป็นประจำอยู่แล้ว

อีกทั้งการที่รับไหว้ไม่ได้เป็นเหตุให้กฎหมายเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจนทุกคนเท่าเทียมกันหมด เมื่อถูกดำเนินคดีก็มีสิทธิ์ต่อสู้ตามกฎหมาย ที่ผ่านมาตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน และพยานแวดล้อม อย่างชัดเจน เพื่ออุดช่องโหว่ไม่ให้มีการฟ้องการร้องกลับ

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีความกดดันในการทำคดี เพราะช่วงแรกมีพยานหลักฐานน้อย อีกทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาและครอบครัวมีความกดดันสูง แต่เมื่อตำรวจทำสำนวนส่งฟ้องอัยการและอัยการสั่งฟ้องตามที่ตำรวจดำเนินการมา ก็ถือประสบผลสำเร็จในคดีนี้ ส่วนคำพิพากษาจะออกมาเป็นเช่นไร ก็ไม่สามารถกำหนดได้

คดีดังกล่าว ถือว่าสามารถนำมาเป็นแบบอย่างให้กับตำรวจรุ่นน้องในการวางแนวทาง กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยฝากถึงเจ้าหน้าที่ทุกนาย อย่าทำงานตามกระแส ให้มีความเข้มแข็งและรักกันมากๆ สำหรับคดีอาวุธและคดีงาช้าง เป็นอีกคดีหนึ่งที่ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเกิดทีหลังคดีเสือดำ

เพจดราม่าเตือนภัยมิจฉาชีพ ล่าสุดปลอมบัตรตำรวจหวังตุ๋นเงินเหยื่อ

ไม่กลัวกฏหมาย แก๊งมิจฉาชีพระบาดสร้างไลน์แอคเคาท์ปลอมเป็นตำรวจ ส่งข้อความหวังหลอกเหยื่อ โดนขอดูบัตร ก็ปลอมส่งให้ เตือนภัยมิจฉาชีพล่าสุด เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.64 เฟซบุ๊กแฟนเพจ Drama-addict ได้โพสต์เตือนภัยหลังแก๊งโจรร้ายยังคงใช้อุบายเดิมแอบอ้างเป็นขนส่งเจ้าดัง รวมถึงปลอมเป็นตำรวจ สภ.ดัง โดยข้อมูลจากเแฟนเพจดังกล่าวได้โพสต์ภาพซึ่งเป็นแชทสนทนาของมิจฉาชีพกับประชาชนท่านหนึ่ง ผ่านระบบไลน์

โดยพฤติกรรมของมิจาชีพนั้น ได้สร้างบัญชีLINE Official Account ขึ้นมา พร้อมกับตั้งชื่อเป็น สภ.แห่งหนึ่ง จากนั้นส่งข้อความเข้ามาทำทีสอบถามว่าต้องการบันทึกเสียงเพื่อลงบันทึกประจำวัน ต่อมาเมื่อถูกถามหาบัตรตำรวจ ฝั่งมิจฉาชีพก็รีบส่งบัตรตำรวจมาให้ทันที อย่างไรก็ตามจากภาพสนทนานั้น ผู้เสียหายจับได้เสียก่อนว่าเป็นกลุ่มผู้ไม่หวังดี

โดยเฟซบุ๊กเพจ Drama-addict ยังระบุข้อความกด้วยว่า “ตอนนี้ ขบวนการที่แอบอ้าง DHL และปลอมไลน์สถานีตำรวจ หลอกลวงประชาชนไปเรื่อย มันเริ่มมีแบบนี้ละครับ คือพอเหยื่อถามว่า ตำรวจจริงป่าวววว ขอดูบัตรยืนยันหน่อย มีการส่งบัตรตำรวจให้ดูด้วย โดยเป็นตำรวจที่มีตัวตนจริง แต่น่าจะโดนมิจฉาชีพตัดต่อบัตรมาแอบอ้าง ย้ำอีกรอบว่า ต่อให้มันส่งบัตรให้ดูแบบนี้ ก็อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด ตำรวจจะไม่ติดต่อด้วยวิธีการนี้อย่างแน่นอน”

ทั้งนี้ การผลิตข่าวปลอม หรือ สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป